ปัจจัยกระทบ (อังกฤษ: impact factor) ปกติใช้คำย่อว่า IF หมายถึงการวัดการได้รับการอ้างอิงของวารสารวิชาการสาขาวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ เพื่อใช้เป็นตัวแทนที่บ่งชี้ความสำคัญและความน่าเชื่อถือของวารสารในสาขาวิชาการนั้นๆ
ปัจจัยกระทบคิดค้นขึ้นโดยยูยีน การ์ฟิลด์ ผู้ก่อตั้ง สถาบันสารสนเทศวิทยาศาสตร์ (Institute for Scientific Information หรือ ISI) ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ บริษัททอมสันวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะทำการคำนวณหาปัจจัยผลกระทบการอ้างอิงของวารสารวิชาการสาขาวิทยาศาสตร์ที่บริษัททอมสันเป็นผู้จัดทำดัชนีประจำทุกปี โดยจะตีพิมพ์ปัจจัยและตัวชี้วัดใน "รายงานการอ้างอิงเอกสารวิชาการ" (Journal Citation Reports) ค่าที่เกี่ยวข้องบางตัวก็จะถูกคำนวณและตีพิมพ์โดยทอมสันเช่นกันใน:
การคำนวณปัจจัยกระทบสำหรับวารสารวิชาการใช้ฐาน 3 ปี และสามารถพิจารณาให้เป็นตัวเลขเฉลี่ยจำนวนครั้งเป็นเวลาได้ถึง 2 รอบปีหลังจากที่บทความได้รับการตีพิมพ์ (รวมทั้งปีปฏิทินที่บทความนั้นได้รับการตีพิมพ์) ตัวอย่างเช่น ปัจจัยกระทบของปี พ.ศ. 2546 ของวารสารฉบับหนึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้
A = จำนวนครั้งที่วารสารที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2544-45 ได้ถูกอ้างอิงในวารสารวิชาการอื่นที่อยู่ในดัชนีระหว่างปี พ.ศ. 2546
B = จำนวนของ "รายการที่สามารถอ้างอิงได้" (ปกติได้แก่บทความ ปริทัศน์ รายงานการประชุมวิชาการ (proceedings) หรือบันทึกทางวิชาการ ไม่ใช่บทบรรณาธิการหรือจดหมายถึงบรรณาธิการ) ที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2443-44
ปัจจัยกระทบ ปี พ.ศ. 2546 = A/B
(โปรดสังเกตว่าปี พ.ศ. 2546 ปัจจัยกระทบได้รับการตีพิมพ์จริงๆ ในปี พ.ศ. 2547 เนื่องการคำนวณไม่สามารถทำได้จนกว่าจะได้รับบทความที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. แล้วทั้งหมด)
วิธีง่ายๆ สำหรับคิดในเรื่องนี้ก็คือ วารสารวิชาการที่ถูกอ้างอิง 1 ครั้ง โดยเฉลี่ยสำหรับแต่ละบทความที่ตีพิมพ์แล้วจะมีค่า IF หรือปัจจัยกระทบเท่ากับ 1 ในสูตรข้างต้น
มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยในเรื่องนี้คือ: ISI แยกเอาบทความบางประเภท (เช่นประเภทข่าว การโต้ตอบและการแก้คำผิด) ออกจากตัวส่วน (ตัวหาร) วารสารใหม่ๆ ที่ถูกจัดเข้าดัชนีตั้งแต่ฉบับแรกที่ออก จะได้รับปัจจัยกระทบหลังจากเมื่อการเข้าระบบดัชนีครบเวลา 2 ปี ในกรณีเช่นนี้ การถูกอ้างอิงก่อนเล่มที่ 1 และจำนวนบทความที่ลงพิมพ์ในปีก่อนเล่มที่ 1 ถือว่ามีค่าเป็นศูนย์ วารสารที่เข้าระบบดัชนีโดยเริ่มที่เล่มที่นอกเหนือจากเล่มแรกจะไม่ได้รับการเผยแพร่ปัจจัยกระทบจนกว่าข้อมูลสมบูรณ์ทั้ง 3 ปีจะเป็นที่รับรู้ก่อน วารสารรายปีและวารสารรายผิดปกติอื่นๆ ซึ่งบางครั้งไม่มีบทความที่นับได้จะไม่มีผลนับ ปัจจัยกระทบสำหรับบางช่วงเวลาเฉพาะที่บางครั้งมีสาระตรงกับบางสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ เช่น ชีววิทยาโมเลกุล แต่ก็ไม่เข้าข่ายสำหรับวิชานั้นที่มีวาระการออกวารสารช้า เช่น สาขานิเวศวิทยา และสังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ส่วนใหญ่ มีความเป็นไปได้ที่จะคำนวณปัจจัยกระทบสำหรับช่วงเวลาที่ต้องการบางช่วงและใช้เว็บไซต์แนะวิธีการ รายงานการอ้างอิงวารสาร (Journal Citation Reports) จะมีตารางบอกความสัมพันธ์ของลำดับปัจจัยกระทบของวารสารในแต่ละสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ เช่น อินทรียเคมี หรือ จิตเวชศาสตร์
บางครั้งก็มีประโยชน์ที่ทำการเปรียบเทียบวารสารวิชาการและกลุ่มงานวิจัยที่ต่างประเภทกัน ตัวอย่างเช่น ผู้อุปถัมภ์งานวิจัยอาจประสงค์ที่จะเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินผลิตภาพของโครงการวิจัย ในกรณีเช่นนี้ มาตรการเชิงวัตถุวิสัยในความสำคัญของวารสารที่ต่างประเภทกันย่อมมีความจำเป็น และปัจจัยกระทบ (หรือจำนวนการตีพิมพ์) ย่อมเป็นแหล่งเผยแพร่เพียงแหล่งเดียว อย่างไรก็ดี เราพึงต้องจดจำให้ดีว่าสาขาวิชาการที่แตกต่างกันย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะมีความแตกต่างกันได้มากในแนวปฏิบัติที่ใช้ในการอ้างอิงและการเผยแพร่ ซึ่งจะมีผลกระทบไม่เพียงจำนวนการถูกอ้างอิงเท่านั้นแต่ยังมีผลต่อความรวดเร็วอีกด้วย บทความส่วนใหญ่ในสาขาวิชาต่างๆ จะอยู่มีช่วงที่ถูกอ้างอิงมากที่สุดหลังการตีพิมพ์ไม่นาน ในเกือบทุกกรณี การพิจารณาจัดลำดับของวารสารให้ตรงตามประเภทของผู้รู้เสมอกัน (peers) ที่ทำการตรวจแก้จะมีความเหมาะสมกว่าการใช้ปัจจัยกระทบที่ยัง "ดิบ" อยู่
วารสารวิชาการบางวารสารอาจยอมรับและใช้นโยบายบรรณาธิการของวารสารวิชาการที่ค่าของปัจจัยกระทบกำลังเพิ่มสูงขึ้น นโยบายบรรณาธิการของวารสารฉบับดังกล่าวอาจไม่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงคุณภาพของงานวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์นั้นเลยก็เป็นได้ บางครั้งวารสารอาจตีพิมพ์บทความวิชาการในจำนวนร้อยละที่มากขึ้นก็ได้ ทั้งๆ ที่บทความวิจัยไม่ได้ถูกอ้างอิงมามากกว่า 3 ปี บทความที่ได้ผ่านการทบทวนโดยผู้รู้เสมอกันเกือบทั้งหมดได้ถูกอ้างอิงอย่างน้อย 1 ครั้งภายในเวลา 3 ปีที่ได้รับการตีพิมพ์ ดังนั้นบทความต่างๆ ที่ผ่านการทบทวนก็จะทำให้ค่าปัจจัยกระทบของวารสารสูงขึ้น เว็บไซต์ของทอมสันไซแอนติฟิก ได้ให้แนวทางสำหรับใช้ถอนวารสารดังกล่าวออกจากสายการจำหน่าย นักวิชาการประเภทที่กล่าวนี้ได้ชัดเจน
มีหลายวิธี โดยไม่นับวิธีจงใจอย่างเลวร้ายที่มีอยู่ ที่บทความวิชาการอ้างอิงวารสารฉบับเดียวกันเพื่อจงใจทำให้ค่าของปัจจัยกระทบเพิ่มขึ้น
บทบรรณาธิการไม่ถือเป็นบทความในวารสาร แต่เมื่ออ้างอิงถึง ซึ่งมักเป็นบทความในวารสารเดียวกัน จำนวนครั้งของการอ้างอิงก็จะเพิ่มจำนวนการถูกอ้างของบทความนั้นๆ และปรากฏการณ์ลักษณะนี้ยากประเมินเนื่องจากข้อแตกต่างระหว่างการวิพากษ์วิจารณ์ในบทบรรณาธิการกับบทความสั้นดั้งเดิมมีน้อยมาก "จดหมายถึงบรรณาธิการ" อาจเป็นได้ทั้งสองประเภท
บรรณาธิการวารสารอาจแนะนำให้ผู้เขียนบทความอ้างบทความในวารสารเดียวกันกับที่ตนเป็นผู้เขียน ระดับของการปฏิบัติในลักณะนี้มีผลคำนวณค่าของปัจจัยกระทบรวมทั้งที่ปรากฏในรายงานการอ้างอิงในวารสารซึ่งก็ควรได้รับการตรวจสอบด้วย การอภิปรายเกี่ยวกับผลกระทบของการอ้างอิงตนเองสามารถดูได้จากเว็บไซต์ของ ISI ซึ่งจะบอกวิธีการแก้ไขไว้ให้ด้วยถ้าต้องการ อย่างไรก็ดี การอ้างอิงบทความในวารสารเดียวกันดังกล่าวกลับมีมากในวารสารที่เป็นสาขาวิชาพิเศษที่เฉพาะมากๆ ไม่ถือว่าเสียหายมากนัก แต่ถ้าเป็นการตั้งใจทำ ผลก็จะปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนเอง เมื่อ 1) วารสารวิชาการฉบับนั้นเป็นวารสารที่มีปัจัยกระทบค่อนข้างต่ำ และ 2) วารสารนั้นตีพิมพ์บทความเพียงไม่กี่เรื่องต่อปี
แถลงการณ์ข้างต้นเป็นการเน้นให้เห็นว่า ปัจจัยกระทบหมายอ้างอิงถึงจำนวนการถูกอ้างอิงโดยเฉลี่ยของแต่ละบทความ และนี่ไม่ใช่การกระจายแบบเกาส์เซียน แต่เป็นการกระจายแบบแบรดฟอร์ด บทความทางวิชาการเกือบทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารที่มีปัจจัยกระทบสูงกลับได้รับการอ้างอิงน้อยกว่าที่ปัจจัยกระทบอาจส่อให้เห็น และบางบทความก็ไม่ได้ถูกนำไปอ้างอิงเลย ดังนั้น จึงไม่ควรถูกนำปัจจัยกระทบของวารสารที่เป็นแหล่งไปใช้แทนการวัดปัจจัยกระทบของตัวบทความในวารสาร
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนียร์ได้ประมาณว่าเมื่อนักวิทยาศาสตร์เขียนงานของตนและอ้างอิงบทความวิชาการของผู้อื่น มีเพียง 20% เท่านั้นที่อ่านบทความนั้นจริงๆ
แม้การสร้างปัจจัยกระทบเดิมนั้นจะทำขึ้นเพื่อใช้วัดความมีชื่อเสียงของวารสารวิชาการเชิงวัตถุวิสัย แต่ในปัจจุบันได้นำมาประยุกต์กับการวัดผลิตภาพของนักวิทยาศาสตร์ที่มาสมัครงานกันมากขึ้นเป็นลำดับ วิธีที่กำลังใช้อยู่ในขณะนี้ก็คือการใช้ตรวจสอบปัจจัยกระทบของวารสารที่ตีพิมพ์บทความของนักวิทยาศาสตร์ผู้สมัครงาน วิธีนี้เป็นที่นิยมของผู้บริหารวิชาการ เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้บริหารมักไม่รู้จักสาขาวิชาที่ผู้สมัครลึกซึ้งพอ และไม่รู้ว่าวารสารที่ตีพิมพ์บทความของผู้สมัครงานดีจริงหรือไม่ ปัจจัยกระทบจึงสามารถช่วยการพิจารณาตัดสินใจจ้างได้
เมื่อปี พ.ศ. 2519 กาเบรียล ปินสกี และ ฟรานซิส นารินแนะให้ใช้ปัจจัยกระทบเวียนกลับ (recursive impact factor) สำหรับบทความวิชาการที่มีปัจจัยกระทบที่มีน้ำหนักมาก ปัจจัยกระทบเวียนกลับดังกล่าวคล้ายคลึงกับขั้นตอนวิธีเพจแรงก์ (PageRank algorithm) ที่ใช้กับโปรแกรมค้นหาของกูเกิล แม้บทความดั้งเดิมของปินสกี และ นารินจะใช้การเข้าถึงปัญหาด้วยการใช้ "ดุลการค้า" ที่ว่าวารสารที่มีค่าปัจจัยกระทบสูงสุดก็เพราะถูกอ้างอิงมากที่สุด แต่วารสารนั้นเองกลับอ้างอิงวารสารอื่นน้อยมากหรือเกือบไม่มีเลย ผู้เขียนบทความขยายผลที่ต่อเนื่องจากบทความที่ได้ปัจจัยกระทบสูงสุดดังกล่าวจำนวนหลายคน ได้เสนอให้ใช้วิธีการเข้าสู่การวางอันดับวารสารวิชาการให้มีความสัมพันธ์กันด้วย เมื่อ พ.ศ. 2549 โยฮาน โบลเลน มาร์โก เอ. โรดิเกสและเฮอร์เบิร์ต แวน เดอ โซมเพลในแนะให้ใช้ขั้นตอนวิธีเพจแรงก์เช่นกัน บทความของกลุ่มนี้เป็นดังตารางข้างล่างนี้:
ตารางข้างต้นแสดงให้เห็นวารสารวิชาการที่อยู่ใน 10 อันดับที่จัดโดยปัจจัยกระทบ ISI, เพจแรงก์ และโดยระบบที่ปรับรวมแล้ว (ข้อมูล พ.ศ. 2546) เนเจอร์ และ ไซแอนซ์ ซึ่งได้รับการนั้น แต่เมื่อเข้าระบบรวมก็จะออกมาที่อันดับสูงสุดดังที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์อาจเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นความแตกต่างของลำดับ คือ 5 และ 7 ในระบบ ISI และเพจแรงก์ตามลำดับ ได้ขึ้นเป็นอันดับ 3 เมื่อคำนวณด้วยระบบรวม
ปัจจัยไอเก็น (Eigenfactor) นับเป็นเพจแรงก์อีกประเภทหนึ่งที่ใช้วัดบทบาทและอิทธิพลของวารสารวิชาการ สามารถดูการจัดอันดับโดยปัจจัยไอเก็นดังกล่าวนี้ได้ที่เว็บไซต์ eigenfactor.org
ปัจจัยกระทบเพื่อใช้กับตัวนักวิทยาศาสตร์ได้แก่ ดัชนีเอช (H-index) หรือ "เลขเฮิร์ส" (Hirsch number) ของนักวิทยาศาสตร์และประวัติการถูกอ้างอิง โดยถ้านักวิทยาศาสตร์ตีพิมพ์บทความจำนวน n เรื่องและหลายๆ เรื่องได้รับการอ้างอิงรวมได้ n ครั้ง ดัชนีเอชของนักวิทยาศาสตร์ผู้นั้นจะได้ค่าเท่ากับ n ดัชนีเอชมุ่งไปที่ผลกระทบของตัวนักวิทยาศาสตร์มากกว่าตัววารสาร บทความว่าด้วย ดัชนีเอชได้ปรากฏในวารสารเนเจอร์ฉบับเมื่อเร็วๆ นี้ โปรแกรมออนไลน์ของดัชนีเอชอาจดูได้จาก calculate a scientist's H-index